เนื่องจากแม่ เดินไม่ได้มาเกือบ 10 ปี อยู่แต่บนเตียง และแทบจะไม่ทานโปรตีนเลย ทำให้ผิวของแม่บางมาก แม่ทานแต่ข้าว และผักจริง ๆ ไม่กี่ชนิดด้วย ทำให้แม่ไม่ค่อยมีแรง นอกจากนี้แม่ยังเป็นโรคหัวใจ แต่ก็ไม่เป็นไรมาก เพราะแม่เป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว ถ้ามองการหายใจของแม่ จะเห็นว่าหายใจติด ๆ บ้าง แต่ทั้งหมดก็เป็นอาการปรกติของแม่ และก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ พวกลูก ๆ ไม่มีทางได้แม่กลับคืนมานั้น ไม่ถึง 2 อาทิตย์ รตจิตรนั่งอยู่ที่ท้ายเตียงเหมือนทุก ๆ วันที่รตจิตรชอบทำ แล้วก็ทา Johnson lotion ที่เท้าแม่ เพราะเท้าของแม่ค่อนข้างแห้ง แม่สั่งรตจิตรว่า อย่าเอาแม่เข้าโรงพยาบาลนะ ซึ่งคืนที่แม่พูด ลูก ๆ ทุกคนก็ได้ยินกันหมด แต่แล้ว……
คืนวันอังคารที่ 29 มกราคม 2013 อยู่ ๆ พี่สาวของรตจิตรก็บอกว่า รู้สึกแม่หายใจติดขัด หายใจไม่ค่อยดี เอาส่งโรงพยาบาลดีกว่ามั้ย รตจิตร ดูแม่แล้ว ก็ไม่เห็นเป็นไร เลยบอกว่า ไม่อยากส่งเข้าโรงพยาบาล เพราะอาเจ๊ก-สามีของหัวหน้ารตจิตร ก็เพิ่งเสียไปวันที่ 11/11/2011 ทั้ง ๆ ที่ก็ดูแข็งแรง แต่มีคนมาทักเช่นนี้เหมือนกัน ก็เลยนำอาเจ๊กส่งโรงพยาบาล ที่เดียวกับที่แม่ของรตจิตรกำลังจะไป พักอยู่เกือบเดือน แม้ว่าภายหลังอาเจ๊กได้ย้ายโรงพยาบาลไปอีกแห่งหนึ่ง ประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนเสียชีวิต แต่ก็ติดเชื้อมาจากห้อง ICU ของโรงพยาบาลที่แม่ของรตจิตรต้องจบชีวิตลงเช่นกัน รตจิตรจึงปฏิเสธ ไม่ให้ส่งแม่เข้าโรงพยาบาลแห่งนี้ เพราะกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย เหมือนกรณีของอาเจ๊กที่ตาย
พี่สาวของรตจิตรพูดย้ำอีกว่า แล้วถ้าแม่ตายละ รตจิตรจะทำอย่างไร ส่งไปอยู่ใกล้หมอดีกว่า จนตอนหลังน้องชายของรตจิตรซึ่งครั้งแรกก็ไม่เห็นด้วย เลยยอม และให้รตจิตรโทรเรียกรถตู้ของโรงพยาบาลมารับ ค่ารับ-ส่งของรถพยาบาลอยู่ที่ 1,600 บาท เพราะบ้านของเราเป็นสมาชิกโรงพยาบาลแห่งนี้ ในขณะที่น้องชายของรตจิตรกำลังตระเตรียมสัมภาระเพื่อไปนอนเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาล น้องชายก็สังเกตแม่ไปเรื่อย ๆ รตจิตรเองก็พูดกับลูกว่าไม่อยากให้แม่เข้าโรงพยาบาลเลย และห้องธรรมดา ห้องคู่ หรือห้องรวมที่โรงพยาบาลก็เต็มหมด มีแต่ห้อง ICU ในเวลานั้นก่อนที่รถโรงพยาบาลจะมา น้องชายก็ทักอีกว่า คิดไปคิดมา คิดว่าไม่ส่งแม่ไปโรงพยาบาลดีกว่า แม่ก็หายใจอยู่แบบนี้มาตั้งนานแล้ว ซึ่งรตจิตรก็เห็นด้วย จึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์จะโทร cancel รถพยาบาล แต่พี่สาวก็ห้ามไว้ว่า “ไหน ๆ ก็โทรไปแล้ว เดี๋ยวก็เสียเงินค่ารถโรงพยาบาลฟรีหรอก” ผ่านไปอีกสักครู่ น้องชายก็ทักขึ้นมาอีกว่าไม่อยากให้แม่ไปโรงพยาบาล ช่วงเวลาที่พวกลูก ๆ ตัดสินใจทำอะไรลงไปนั้น แม่นอนหลับอยู่ ไม่มีใครบอกแม่สักคำว่าจะส่งแม่ไปโรงพยาบาล ไม่มีใครถามแม่เลยว่าอยากไปโรงพยาบาลหรือไม่ ไม่มีใครให้แม่เตรียมตัวเตรียมใจก่อน แม่ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า กำลังจะถูกส่งไปห้อง ICU และจะไม่ได้เห็นโลกนี้อีกต่อไป ICU ของโรงพยาบาลที่แม่เคยสั่งไว้ว่าจะไม่เข้าไปอีก และตอนนั้นลูก ๆ ทุกคนกลับลืมคำพูดของแม่ที่เคยบอกลูก ๆ ว่าอย่าส่งแม่ไปโรงพยาบาลนะ ! นอกจากนี้วันนั้นเป็นช่วงที่กำลังจะตรุษจีน ทำไมพวกเราจึงส่งแม่ไปโรงพยาบาล รตจิตรไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมคืนนั้น ถึงไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ด้วย
รตจิตรยกหูโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อหมุนไปยกเลิกรถโรงพยาบาล แต่พี่สาวก็ห้ามไว้อีกว่า ป่านนี้รถโรงพยาบาลคงใกล้ถึงแล้ว ยังไง ๆ ก็ต้องจ่ายค่ารถให้โรงพยาบาล ไม่น่าเชื่อเลย ไม่น่าเชื่อว่า จากการที่พี่สาวกลัวว่าพวกเราจะเสียเงินแค่ 1,600 บาท กลับต้องทำให้เราต้องสูญเสียครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต เป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถหาอะไรมาชดเชย เป็นการสูญเสียที่ไม่สามารถหาใหม่ได้ ไม่สามารถหาสิ่งใด ๆ ในโลกนี้ทดแทนได้อีกเลยทั้งชีวิต ไม่สามารถทำให้ “แม่” คนที่เรารักที่สุดในโลกหายจากความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดรวดร้าว ความเปล่าเปลี่ยว ความเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวในห้อง ICU ความอึดอัดที่ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก และยังอาจมีความลำบากอื่น ๆ อีกมากที่พวกลูก ๆ ไม่สามารถรู้ได้ ไม่ได้รวมถึงการเสียเงิน ซึ่งแทนที่จะเสียเงินแค่ค่ารถโรงพยาบาล 1,600 บาท กลายเป็นต้องจ่ายค่ารักษาให้โรงพยาบาลแบบสูญเปล่าจริง ๆ เกือบ 6 แสนบาทในที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น ใครทำให้แม่ตาย
– แม่ของรตจิตรที่เดินไม่ได้มานาน มาเข้าห้อง ICU แค่คืนที่ 2 ที่อยู่ในห้องนี้ แม่ต้องสูญเสียกระดูกขาทั้ง 2 ข้าง เพราะทางโรงพยาบาลเป็นคนทำ โดยไม่มีใครยอมรับ แต่ละคนที่โรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงย่านฝั่งธน ฯ แห่งนี้ ได้แต่ก้มหน้า และเดินเลี่ยงออกไป ไม่มีใครกล้าตอบ หรือให้ความกระจ่างแก่พวกลูก ๆ ของแม่ว่า ใครเป็นคนทำให้แม่เป็นเช่นนี้ ใครทำกระดูกของแม่แตกหมด วันละข้าง ตั้งแต่คืนวันที่ 2 และคืนที่ 3 จนทำให้เลือดไหลไม่หยุดใต้ผิวหนัง ต้องให้เลือดแม่ถึง 5 ถุงก่อนที่แม่จะสิ้นใจ
– การให้เลือด ในเวลาไม่กี่วัน แต่ให้ติด ๆ กัน โดยบางวันให้เลือด 2 ถุง เป็นสาเหตุให้แม่มีไข้ขึ้นสูง จนต้องให้ยาไอโน่นไอนี่ เต็มไปหมด และ
– การที่รีบเอาเครื่องช่วยหายใจยัดใส่ช่องคอแม่ โดยไม่ได้คิดจะให้แม่ลองพยายามหายใจด้วยตัวเองก่อน ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ที่แม่จะถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แม่ก็หายใจเองมาตลอด จนทำให้ปอดของแม่ติดเชื้อ เพราะความไม่สะอาดเพียงพอของทั้งหมอ นางพยาบาล เจ้าหน้าที่หลาย ๆ คนในห้อง ICU หรือแม้แต่ข้าวของเครื่องมือ เครื่องใช้ ตลอดจนการที่พยาบาลนำเอาสิ่งปฏิกูลทั้งหลายมาตั้งหน้าห้องที่แม่อยู่ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นคือมีนางพยาบาลบางคน ขนาดอายุก็เลข 4 เข้าไปแล้ว เป็นหวัดรุนแรง เที่ยวเข้าห้องคนไข้คนนั้นที คนนี้ที โดยเอาผ้าปิดปากห้องไว้ข้างหู และพอไอจาม ก็วิ่งพรวดออกมา โดยไม่มีการเอามือป้องปากหรือจมูกไว้เลย พอรตจิตรถามว่าทำไม ไม่ลาป่วยไปละ คำตอบกลับกลายเป็น นางพยาบาลที่ห้อง ICU ค่อนข้างน้อย พอขาดคนก็เลยไม่ค่อยมีใครหยุด และหลาย ๆ คนต้องการหาเงิน จึงทำงานกันวันละ 2 กะ แต่ห้ามเกิน 4 วันต่อสัปดาห์ วันที่เหลือของสัปดาห์ จะทำกันกะเดียว
– พอปอดของแม่ติดเชื้อ หมอทุกคนต่างให้ยาแรง ๆ อย่างเต็มที่ ต่างคนต่างให้ จนร่างกายของแม่รับไม่ไหว ยาฆ่าเชื้อที่ลองให้แม่ มี 3 ตัว เพราะหมอเองก็ไม่รู้ว่าตัวไหนกันแน่ ราคา ขวดละ 3,000 บาท และให้แม่วันละ 1-2 ขวด ได้แก่ MiRonan, Colistin, Tygacil เป็นต้น
– โดยปกติต้องมีหมอที่เป็นเจ้าของคนไข้ หรือที่เป็นหมอหลักตรวจแม่ ซึ่งในวันนั้น เป็นหมอด้านสมอง เพราะเคยรักษาแม่ ตอนที่แม่ชัก หมอสมองคนนี้ ก็เอาหมออีกหลายคนมาตรวจ หมอเกลือแร่ หมอโปรตีน หมอติดเชื้อในปอด ต่างคนต่างก็เจาะเลือดแม่ ทุกวัน บางวันเจาะเช้า เจาะเย็น จนเส้นเลือดของแม่แตกทุกเส้น ไม่ว่าจะที่มือ ที่แขน ที่ขา หรือที่นิ้ว หมอทุกคนให้ยาโน่น ยานี่ เพื่อให้โปรตีน และเกลือแร่ของแม่ได้ตามมาตรฐาน ซึ่งรตจิตรเองก็ไม่มีความรู้เรื่องเหล่านี้ เช่น
albumin ของแม่วัดได้ 3.3 แต่มาตรฐานต้องเป็น 3.4-4.6
เกลือแร่ของแม่วัดได้ 31 แต่หมอต้องการให้เท่าปรกติคือ 33
Calcium 7.2 ต้องให้ได้ 7.7 เป็นต้น
พอให้ไข่ขาวทางสายอาหาร แม่ของรตจิตรก็อาเจียน คนเราปรกติ ลองให้ทานไข่ขาวบดเป็นน้ำซิ เพื่อน ๆ ว่าคลื่นไส้มั้ย แล้วก็มาตีความว่าระบบย่อยอาหารแม่มีปัญหา
รตจิตรไม่เข้าใจเลยว่า จะเอาอะไรมากมายกับคนแก่ที่นอนซมหลังจากมาเข้าโรงพยาบาล เพื่อให้ค่าที่วัดได้จากการเจาะเลือดให้ได้ในระดับมาตรฐานให้ได้ เจาะเลือดนับครั้งไม่ถ้วน สุดท้ายมาบอกว่าแม่ขาดเลือด แม้ว่าการรักษาแม่ในครั้งนี้ จะมีหมอที่มีอายุบางคนที่น่ารักมาก คือหมอโรคหัวใจ และปอด แต่ก็ไม่สามารถทำอะไร หรือเตือนให้หมอคนอื่นเบา ๆ มือลงบ้าง
– และก่อนวันที่แม่จะสิ้นใจเพราะทนไม่ไหวกับการกระทำต่าง ๆ นา ๆ ของหมอเกือบ 10 คน การกระทำของนางพยาบาลบางคน ซึ่งไม่มีใครรู้ก่อนว่าแม่จะสิ้นใจวันไหน รตจิตรทนไม่ได้จึงขอร้องหมออย่าเจาะเลือดแม่อีกเลย ให้แม่พักสัก 2 วันได้มั้ย มือของแม่ ขาของแม่ นิ้วของแม่ บวมไปหมดเพราะเส้นเลือดแตก และแข่งกันให้ยาแรง ๆ หมอรับปาก แต่หมอโกหก ขอเจาะที่คอคืนนั้นเลย
– วันที่หมอรับปากว่าจะ ไม่เจาะเลือดแม่สัก 2 วัน คืนวันนั้นนั่นเอง หมอคนนี้กลับใช้วิธีเจาะด้านข้างคอของแม่ ซึ่งรตจิตรมาทราบตอนเช้า หมอให้เหตุผลว่าจะได้ไม่ต้องเจาะบ่อย ๆ ใช้สูบเลือดจากที่คอของแม่เลย ช่วง 3-4 วันก่อนที่แม่จะสิ้นใจ หมอใช้วิธีฉีดยาให้แม่นอนหลับ ทำให้รตจิตรไม่ค่อยรู้ถึงความรู้สึกของแม่ รู้แต่ว่าแม้แม่จะนอนหลับเพราะฤทธิ์ยา แต่สีหน้าของแม่ไม่ค่อยดี และขมวดคิ้วตลอด เพียง 1 วันที่หมอเจาะคอแม่ แม่ก็สิ้นใจ
♦ บทนำ บันทึกรักถึง “แม่”
♦ วันที่แม่เข้าห้อง ICU ของโรงพยาบาล
♦ ใครทำกระดูกขาของแม่แตก
♦ จดหมายด่วนที่สุดถึงประธานโรงพยาบาล
♦ การกระทำที่ไร้มนุษยธรรมของหมอ
♦ หลังจากแม่จากไป
สงวนลิขสิทธิ์โดย © รตจิตร
~~~~